วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Assignment 8 : Prepositions







คำบุพบท (prepositions) 

คือคำที่โยงคำนาม นามวลี หรือคำสรรพนามเข้ากับคำอื่น ๆ เพื่อแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เช่น on, in, under, at, between
6.1 ประเภทของคำบุพบท คำบุพบทแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
6.1.1 คำบุพบทบอกสถานที่ (prepositions of place) เช่น at, on, in, etc.
ตัวอย่าง
Jane is at home.
Henry is on the ship.
The Smiths are in Italy.
6.1.2 คำบุพบทบอกตำแหน่ง (prepositions of position) เช่น above, beneath, behind, in front of, etc.
ตัวอย่าง
There is a big tree in front of Jane’s house.
Henry is hiding behind the bush.
Peter’s book is beneath Bill’s book.
6.1.3 คำบุพบทบอกการเคลื่อนไหว (prepositions of motion) เช่น through, into, towards, out of, away from, etc.
ตัวอย่าง
The train is going through the tunnel.
Peter is walking towards the monument.
Ann is driving into the parking lot.
6.1.4 คำบุพบทบอกทิศทาง (prepositions of direction) เช่น up, down, across, along, etc.
ตัวอย่าง
Susan is driving up the hill.
Peter is walking across the street.
Jane is walking along Chaeng Watthana Road.
6.1.5 คำบุพบทบอกเวลา (prepositions of time) เช่น on, in, at, by, after, before, etc.
ตัวอย่าง
I play football on Monday.
I will finish the project in a year.
Jane gets up at six o’clock.
I arrived before Jim.
6.1.6 คำบุพบทบอกลักษณะอาการ (prepositions of manner) เช่น in, with, without, etc.
ตัวอย่าง
Ann speaks in a very low voice.
Peter listened with great interest.
Nobody can live without hope.
6.1.7 คำบุพบทบอกความสัมพันธ์ (prepositions of relationship) เช่น about, of, with, in, from, etc.
ตัวอย่าง
The children are talking about toys.
Bangkok is the capital of Thailand.
The girl with long hair is my sister.
The boy in the blue suit is my son.
6.2 การใช้คำบุพบท
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการใช้คำบุพบท มีดังนี้
6.2.1 การใช้คำบุพบทให้ถูกต้องมักต้องอาศัยการสังเกตและจดจำ ว่าในสถานการณ์นั้น ๆ จะต้องใช้คำบุพบทคำใด เช่น เมื่อกล่าวถึงวัน ต้องใช้คำบุพบท on เมื่อกล่าวถึงเดือน ต้องใช้คำบุพบท in เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
I study English on Monday.
I started studying English in 1990.
I watch TV in the evening.
I go to bed very late at night.
6.2.2 ถึงแม้ว่าคำบุพบทแต่ละคำจะมีความหมายของตัวเอง แต่คำบุพบทมักถูกนำไปใช้คู่กับคำอื่น ๆ และทำให้เกิดความหมายพิเศษ มีลักษณะคล้ายสำนวน
ตัวอย่าง
· approve of (เห็นชอบ)
We approve of the new plan.
· angry at หรือ angry with (โกรธ)
We are angry at/with John.
· satisfied with (พอใจกับ)
We are satisfied with our success.
· believe in (เชื่อ)
We believe in God.
· depend on (พึ่งพา)
We have to depend on our parents.
· have faith in (มีศรัทธาใน)
We have faith in our government.
· look at (มองดู)
Tom is looking at a painting.
· look after (ดูแล)
Jane looks after her aged mother.
· look for (มองหา)
Jane is looking for her lost ring.
· proud of (ภูมิใจใน)
We are proud of our children.


http://pirun.kps.ku.ac.th/~b5127099/prepositions.html

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Assignment 7 : Adverbs




Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์, และคำกริยาวิเศษณ์ตัวอื่นๆ



ชนิดของ Adverb แบ่งตามความหมายได้ดังนี้
1. Adverb of manner (กริยาวิเศษณ์บอกกริยาอาการ)
adverb ที่บอกว่าการกระทำนั้นได้กระทำในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็น adverb ที่ลงท้ายคำด้วย -ly ของคำคุณศัพท์
เช่น quickly, happily, bravely, hard, fast, well
2. Adverb of place (กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่)
adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ไหน หรือ การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนัง ( Where )
เช่น here, there, everywhere, up, down, near, abroad, above
3. Adverb of time (กริยาวิเศษณ์บอกเวลา)
adverb ที่ บอกว่าการกระทำนั้นเกิดเมื่อใด ( when ) เป็นเวลานานแค่ไหน ( for how long ) และบ่อยแค่ไหน ( how often )
เช่น When = today, yesterday, later,now, last year, after, soon, before, sometime, For how long = all day, not long, for a while, since last year, temporarily, briefly, from……to, till, until ( บางตำราแยกเป็น Adverbs of Duration [กริยาวิเศษณ์บอกระยะที่ดำเนินการมา] )
How often = sometimes , frequently, never, often, always, monthly ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of Frequency [กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ] )
4. Adverb of degreeเป็นกริยาวิเศษณ์ที่ส่วนใหญ่ไปขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับหรือปริมาณความมากน้อย คำที่พบบ่อยๆ (How much) ( บางตำราแยกหัวข้อนี้ออกเป็น Adverbs of quantity [กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากหรือน้อย] )
ได้แก่
เช่น very, fairly, rather, quite, too, hardly
5. Adverb of Affirmation or Negation คือ กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ
เช่น yes, no, not, not at all, of course, actually
*6. Conjunctive Adverbs เป็นกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมอนุประโยค (independent clause) ในประโยค โดยมีข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เช่นคำต่อไปนี้
เช่น next, finally, also, anyway, besides, still
*7. Interrogative Adverbs (บางตำราก็เขียนไว้ว่า Adverb of Interrogative) กริยาวิเศษณ์นำในประโยคคำถาม ได้แก่คำดังต่อไปนี้
เช่น why, where, how, when, which, who
*8. Relative Adverbs เป็นคำกริยาวิเศษณ์นำหน้า relative clause ได้แก่คำ when, where, why แทนคำ preposition + which
* หมายเหตุ บางตำราอาจจะไม่มี หรือรวมไว้ในหมวดเดียวกัน
หลักการสร้าง Adverb / แหล่งกำเนิด Adverb (หลักการเปลี่ยน adjective -> adverb)
1. Adverb ส่วนมากเกิดจากคำการเติม –ly ท้าย adjective
careful -> carefully
quick -> quickly
โดยหลักการเติม –ly มีดังนี้
a) คำที่ลงท้ายด้วย –e ให้เติม –ly ได้เลย เช่น
extreme -> extremely
ยกเว้น คำเหล่านี้ที่เปลี่ยนทั้งรูปได้แก่ true -> truly, due -> duly, whole -> wholly
b) คำที่ลงท้ายด้วย –le (-able, -ible) ให้เติม –ly เช่น
comfortable -> comfortablely
c) คำที่ลงท้ายด้วย –y เปลี่ยน –y เป็น –i และเติม –ly เช่น
happy -> happily
d) คำที่ลงท้ายด้วย (สระ+l) ให้เติม –ly เช่น
beautiful -> beautilfully
e) นอกจากกฎเกณฑ์ที่ลงท้ายตามข้อ 1-2 แล้ว เมื่อต้องการให้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ให้เติม ly ปัจจัยได้เลย ไม่ต้องลังเลใจให้เสียเวลา
2. Adverb บางคำขึ้นต้นด้วย a-
เช่น a+go = ago, a+broad = abroad, a+new = anew, a+part = apart, a+side = aside
3. Adverb บางชนิดเติม –wise หรือ –ward
เช่น forwards, backwards
4. มีรูปของตนเองมาโดยกำเนิด จะต่อเติมหรือตัดออกแม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ได้ ได้แก่คำว่า here,there,hard,always,well,lften,too,ver,early, seldom,etc.
*** 5.Adverb บางคำเป็นรูปเดียวกับ Adjective
มี Adverb อยู่บางตัวซึ่งมีรูปเช่นเดียวกันกับ Adjective
คำต่อไปนี้เป็นได้ทั้ง Adjective และ Adverb
สุดท้ายแต่วิธีใช้ หรือตำแหน่งวางไว้ในประโยคของมันได้แก่
table update coming soon…)
คำทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถ้านำไปใช้โดยวางไว้หน้านามหรือหลัง Ber to be, taste, feel, smell, etc. ทำหน้าที่ เป็น Adjective แต่ถ้านำไปใช้โดยวางไว้หลังกริยาทั่ว ๆ ไป นอกจาก
Verb to do ฯลฯ ตามที่กล่าวมาแล้ว ทำหน้าที่เป็น Adverb ตัวอย่าง
วิธีการใช้ adverb
1. Adverb of manner
+ ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา เช่น They walk slowly.
+ ถ้าประโยคนั้นมีกรรม ให้วางหลังกรรม เช่น I can speak Japanese well.
+ Adverb of Manner ที่ลงท้ายด้วย -ly หรือเป็นคำที่แสดงความเห็นของผู้พูดเกี่ยวกับการกระทำนั้น ส่วนใหญ่นิยมวางไว้ในประโยค เช่น I have carefully considered all of the possibilities.
+ Adverbs of Manner อาจจะวางไว้หน้าประโยคได้เมื่อต้องการเน้น Adverb นั้น เช่น
Patiently, we waited for the show to begin.
+ ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย How ให้วาง Adverbs of Manner ไว้หลัง How เช่น
How quickly the time passes!
+ ในประโยค passive voice ถ้ามี Adverb of Manner มาขยาย ให้วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 เสมอ
เช่น The report was well written.
+ แต่ในกรณีที่ต้องการเน้น สามารถนำมาไว้หน้าประโยคได้ เช่น As quickly as we could, we finished the work.
2. Adverb of place
+ ตำแหน่งของ Adverb of Place ปกติจะวางท้ายประโยคหลังกริยาหลัก ( main verb ) หรือหลังกรรม ( object ) และไม่มีคำอื่นต่อท้าย เช่น
The students are walking home.
3. Adverb of time
+ Adverb ที่บอกว่าเกิดเมื่อใด ( When ) ส่วนมากจะนิยมวางท้ายประโยค เช่น
I ‘m going to tidy my room tomorrow.
+ Adverb of time ส่วนมากจะวางไว้ในกลางประโยคไม่ได้ ยกเว้น now, once, และ then เช่น It is now time to leave.
+ Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหน ( how often ) เป็นการแสดงความถี่ของการกระทำ ส่วนมากวางหน้ากริยาหลัก ( main verb ) แต่หลังกริยาช่วย ( auxiliary verbs ) เช่น be, have, may, must
I often eat vegetarian food.
+ Adverb ที่บอกว่าบ่อยแค่ไหนซึ่งระบุจำนวนเวลาของการกระทำที่แน่นอน ส่วนมากจะวางท้ายประโยค เช่น This magazine is published monthly.
+ Adverb ที่สามารถวางท้ายประโยค หรือวางหน้ากริยาหลัก เช่น frequently,generally, normally, occasionally,often, regularly, sometimes, usually เช่น She regularly visits France.
4. Adverb of degree
+ ตำแหน่งของ Adverbs of Degree ส่วนใหญ่วางหน้าคำที่มันขยาย มักจะขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง และวางหน้า main verb หรือระหว่างกริยาช่วย ( auxiliary verb )กับ main verb เช่น The water was extremely cold.
หลักการเรียงลำดับ adverb หลายชนิดที่ขยายกริยา
1.สถานที่ (place) 2.กริยาอาการ (manner) 3.ความถี่ (frequency) 4.เวลา (Time)
* โดยมากใช้กับกริยาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เช่น go, leave, walk, fly, come
(table update coming soon...)
* ้าเป็นกริยาที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งให้เรียงกริยาอาการมาก่อนสถานที่
- She sang beautifully in the hall last night.


Assignment 6 : Adjectives




Adjective คือ คำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามหรือสรรพนามเพื่อที่จะบอกลักษณะเพิ่มเติมของคำที่จะขยายนั้นว่าเป็นอย่างไร

คำ Adjective (คำคุณศัพท์) นี้เราสามรถแยกออกได้เป็น 8 ประเทคือ
1. Descriptive Adjectives คือ คำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะและคุณสมบัติต่างของคำนามว่ามีลัษณะอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, ugly และอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น
Tony is a black rich man.
(โทนี้เป็นผู้ชายผิวเข้มสีที่รวย)
2. Demonstrative Adjectives คือ คำคุณศัพท์ที่ใช้ระบุถึงนามต่างๆ เช่น
The, These, This, That, Those, Such, The same, A, An, Any, Another, One, Some, Such, Other
ยกตัวอย่างเช่น
That boy is crying.
(เด็กผู้ชายคนนั้นร้องไห้)
3. Distributive Adjectives คือ คำคุณศัพท์ที่ใช้ในการแยกนามต่างๆออกจากกัน เช่น each (แต่ละ), every (ทุกๆ), either…or (ไม่อันใดก็อันหนึ่ง), neither…nor (ไม่ทั้งสอง) ยกตัวอย่างเช่น
Every boy in this school loves playing football.
(เด็กผู้ชายทุกๆคนในโรงเรียนนี้ชอบการเล่นฟุตบอล)
Neither Jim nor Joe can drive a plane.
(จิมกับโจไม่สามารขับเครื่องบินได้ทั้งสองคน)
4. Interrogative Adjectives คือ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคําถามโดยจะวางไว้ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ เช่นคำ what, which, whose ยกตัวอย่างเช่น
Which book do you prefer?
(หนังสือเล่มไหนที่คุณชอบ)
Whose car is that?
(รถคันนี้เป็นรถของใคร)
 5. Proper Adjectives คือ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกสัญชาติเช่น English (คนอังกฤษ), American (คนอเมริกา), Thai (คนไทย), Indian (คนอินเดีย), Japanese (คนญี่ปุ่น) เป็นต้น ลองมาดูการใช้งานครับ
Jimy is English but Terry is French.
(จิมมี่เป็นชาวอังกฤษแต่เทอรี่เป็นชาวฝรั่งเศษ)
 6. Numeral Adjectives คือ คุณศัพท์ที่ใช้ในการบอกจำนวนที่แน่นอนของสิ่งของต่าง เราสามารถแบ่งได้ง่ายออกเป็นสี่ชนิดนะครับ คือ
 a. Cardinal Numeral Adjective คือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนที่แน่นอน เช่น one, two, three, four, five, six, seven เป็นต้น มาดูตัวอย่างการใช้งานกันครับ
She brings me four baskets of strawberry.
(เธอเอาสตอเบอรี่มาให้ฉันสี่ตะกร้า)
b. Ordinanal Numeral Adjective คือ คุณคำศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำดับที่ของนาม เช่น first, second, third, fifth, sixth เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน
They are the first group on this location.
(พวกเขาคือกลุ่มแรกที่มาที่พื้นที่นี้)
He gets the second price of the photography contest in Bangkok this year.
(ปีนี้เขาได้รับรางวัลที่สองของการประกวดภาพถ่ายในกรุงเทพ)
c. Multiplicative Adjective คือ คุณคำศัพท์ที่บอกความทวีคูณของนามเช่น double, triple, quadruple เป็นต้น ตัวอย่างการใช้งาน
This year, the rice production is double because the weather is good.
(ปีนี้ผมผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพราะว่าอากาศนั้นดี)
  7. Possessive Adjectives คือ คุณศัพท์ที่ใช้ในการขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my(ของฉัน), our(ของพวกเรา), your(ของคุณ), his(ของเขา), her(ของเธอ), its(ของมัน) และ their (ของพวกเขา) ยกตัวอย่างการใช้งาน
My dog is five-year-old.
(หมาของฉันนั้นอายุห้าขวบ)
8. Quantitative Adjectives คือ คุณศัพท์ที่ใช้ในการบอกปริมาณ เพื่อบอกให้ทราบว่ามีปริมาณเท่าไร มากน้อยเพียงใด แต่ไม่ได้บอกเป็นจำนวนที่แน่นอน ได้แก่คำดังนี้
a little/little (เล็กน้อย)
all (ทั้งหมด)
enough (เพียงพอ)
few /a few (น้อย)
many (มาก)
much (มาก)
no (ไม่มี)
some (บ้าง)
any (บ้าง)
whole (ทั้งหมด)
much (มาก – ใช้กับนามนับไม่ได้)
many (มาก – ใช้กับนามนับได้)
ยกตัวอย่างการใช้งาน
I have few dollars in my pocket.
(ฉันมีเงินไม่กี่ดอลล่าในกระเป๋าของฉัน)

http://www.englishdd.org/adjective-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C/

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Assignment 4 : Pronouns



Pronouns




Pronoun ( คำสรรพนาม )  คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง   หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร   คำสรรพนาม  (pronouns ) แยกออกเป็น  7 ชนิด คือ


1.Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม )  คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ
รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม
รูปประธาน 
รูปกรรม
Possessive Form
Reflexive Pronoun
Adjective
Pronoun
 I
 me
my
 mine
 myself
we
us
our
ours
ourselves
you
you
your
yours
yourself
he
him
his
his
himself
she
her
her
hers
herself
it
it
its
its
itself
they
them
their
theirs
themselves
เช่น 
I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me.
ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้  ( He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I  ในประโยคที่หนึ่ง )
My friend and her brother like to swim. They swim whenever they can.
เพื่อนฉันและน้องชายของเธอชอบว่ายน้ำ พวกเขาไปว่ายน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส (  they ในประโยคที่สอง แทน My friend และ her brother ในประโยคที่ 1 )

2. Possessive Pronouns ( สรรพนามเจ้าของ )  คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้
      mine,ours, yours, his, hers,its,theirs 
The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
This is yours. อันนี้ของคุณ
His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว
Theirs will be delivered tomorrow. ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้
Ours is the green one on the table . ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ

3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun  ได้แก่
    myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself  มีหลักการใช้ดังนี้
  • ใช้เพื่อเน้นประธานให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำการนั้นๆ ให้วางไว้หลังประธานนั้น  ถ้าต้องการเน้นกรรม (object ) ให้วางหลังกรรม เช่น
    She herself doesn't think  she'll get the job.
    The film itself wasn't very good but I like the music.
    I spoke to Mr.Wilson himself.
  • วางหลังคำกริยา เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่ทำต่อตัวประธานเอง
    They blamed themselves for the accident.
    พวกเขาตำหนิตนเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ( ตามหลังกริยา blamed )
    You are not yourself today.
    วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง ( ตามหลังกริยา are )
    I don't want you to pay for me. I'll pay for myself.
    ฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนจ่ายเงินให้ ฉันจะจ่ายของฉันเอง
    Julia had a great holiday. She enjoyed herself very much.
    จูเลียมีวันหยุดที่ดี เธอสนุกมาก
    George cut himself while he was shaving this morning.
    จอร์จทำมีดบาดตัวเองขณะทีโกนหนวดเมื่อเช้านี้
หมายเหตุ  ปกติ จะใช้  wash/shave/dress โดยไม่มี myself

4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns  คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น
 this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter
That is incredible!    นั่นเหลือเชื่อจริงๆ  (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)
I will never forget this.   ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้)
Such is my belief.  นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )
Grace and Jane ar good girls. The former is more beautiful than the latter.
  เกรซและเจนเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่คนแรก (เกรซ)จะสวยกว่าคนหลัง (เจน)

5.Indefinite Pronouns ( สรรพนามไม่เจาะจง ) หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น
everyoneeverybodyeverythingsomeeach
someonesomebodyallanymany
anyoneanybodyanythingeitherneither
no onenobodynothingnoneone
moremostenoughfewfewer
littleseveralmoremuchless
Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง
One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน
Nobody will believe him. จะไม่มีใครเชื่อเขา
Little is expected. มีการคาดหวังไว้น้อยมาก


6. Interrogative Pronouns ( สรรพนามคำถาม )  เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่  Who, Whom, What, Which  และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever   เช่น
Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน )
Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
What did she say?  เธอพูดว่าอะไรนะ? (  what เป็นกรรมของกริยา say )
Which is your cat ? แมวของเธอตัวไหน? ( which เป็นประธาน )
Which of these languages do you speak fluently? ภาษาไหนในบรรดาภาษาเหล่านี้ที่คุณพูดได้คล่อง? ( which เป็นกรรมของ speak )
หมายเหตุ   which และ  what  สามารถใช้เป็น  interrogative adjective   และ who, whom , which  สามารถใช้เป็น relative pronoun  ได้

7. Relative Pronouns ( สรรพนามเชื่อมความ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า   และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน   เช่นคำต่อไปนี้  who, whom, which whose ,what, that , และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever
Children who (that) play with fire are in great danger of harm.
The book that she wrote was the best-seller
He's the man whose car was stolen last week.
She will tell you what you need to know.
The coach will select whomever he pleases.
Whoever cross this line will win the race.
You may eat whatever you  like at this restaurant.









Assignment 3 : Nouns


Noun




Nouns

Nouns are naming words. Everything we can see or talk about is represented by a word which names it – that naming word is called a noun

Sometimes a noun will be the name for something we can touch (e.g., lion, cake, computer), and sometimes a noun will be the name for something we cannot touch (e.g., bravery, mile, joy). Everything is represented by a word that lets us talk about it. That includes people (e.g., man, scientist), animals (e.g., dog, lizard), places (e.g., town, street), objects (e.g., vase, pencil), substances (e.g., copper, glass), qualities (e.g., heroism, sorrow), actions (e.g., swimming, dancing), and measures (e.g., inch, ounce). 

Here are some more examples:
  • soldier - Alan - cousin - Frenchman   (< names for people)

  • rat - zebra - lion - aardvark (< names for animals)

  • house - London - factory - shelter   (< names for places)

  • table - frame - printer - chisel (< names for objects)

  • lead - nitrogen - water - ice (< names for substances)

  • kindness - beauty - bravery - wealth - faith (< names for qualities)

  • rowing - cooking - barking - reading - listening (< names for actions)

  • month - inch - day - pound - ounce (< names for measures)

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Assignment 2 : Word roots and affixes

Assignment 2 : Word roots and affixes


Prefix 
แปลว่า “อุปสรรค”หมายถึงคำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่น
แล้วทำให้คำคำนั้นมีความหมายผิดไปจากเดิม
เราเรียนคำเช่นนี้ว่า “Prefix” = อุปสรรค ในภาษาอังกฤษอุปสรรคที่ใช้กันมาก
และมักพบเห็นบ่อย ๆ มีอยู่ 10 ตัว คือ
1. –Un (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)
เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น suitable เหมาะสม unsuitable ไม่เหมาะสม
countable นับได้ uncountable นับไม่ได้

2. –Im (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)
เมื่อเติมแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น pure บริสุทธิ์ impure ไม่บริสุทธิ์
polite สุภาพ impolite ไม่สุภาพ

3. –In (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) เท่านั้น
เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมาย
direct ตรง indirect
ไม่ตรงexpensive แพง inexpensive ไม่แพง

4. –Re (อีก) ใช้สำหรับเติมหน้าคำกริยา (verb) หรือคำนามที่มาจากกริยาเท่านั้น
เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมายว่า “ทำอีก”
เช่น write เขียน rewrite เขียนใหม่
speak พูด respeak พูดอีก

5. –Dis (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้ากริยา (verb) หรือเติมหน้าคุณศัพท์ (Adjective)
และเมื่อเติมแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
like ชอบ dislike ไม่ชอบ
agree เห็นด้วย disagree ไม่เห็นด้วย

6. –Mis (ผิด) ใช้สำหรับนำหน้าหรือเติมหน้าคำกริยา (verb) เท่านั้น
เมื่อเติมแล้วทำให้กริยาตัวนั้น มีความหมายว่า “กระทำผิด”
เช่น write เขียน miswrite เขียนผิด
spell สะกดตัว misspell สะกดตัวผิด

7. –Pre (ก่อน) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม (Noun) หรือกริยา (verb)
เมื่อเติมแล้วทำให้นามนั้นมีความหมายว่า “ก่อน , หรือทำก่อน”
เช่น history ประวัติศาสตร์ prehistory ก่อนประวัติศาสตร์
university มหาวิทยาลัย preuniversity ก่อนมหาวิทยาลัย

8. –Tri (สาม) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม และเมื่อเติม tri เข้าข้างหน้าแล้ว
ทำให้คำนั้นมีความหมายว่า “สาม” ขึ้นมาทันที
เช่น คำเดิม คำแปล เติมอุปสรรค tri แล้ว คำแปล angle เหลี่ยม triangle
รูปสามเหลี่ยมcycle จักรยาน tricycle รถสามล้อ
9. –Bi (สอง) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม และเมื่อเติม bi เข้าข้างหน้าแล้ว
ทำให้คำนั้นมีความหมาย“สอง”ขึ้นมาทันที
เช่น cycle จักรยาน bicycle จักรยานสองล้อ
polar ขั้วโลก bipolar มีสองขั้วโลก
10. –En อุปสรรคตัวนี้ไม่มีคำแปลเป็นเอกเทศ เพียงแต่ว่าเมื่อนำไปเติมข้างหน้าคำนาม
หรือคำคุณศัพท์แล้วทำให้คำนั้นกลับเป็นกริยา (verb) ขึ้นมาทันที
เช่น camp ค่ายพัก encamp ตั้งค่าย
sure แน่ใจ ensure รับประกัน

Prefixes


Prefixes are added to the beginning of an existing word in order to create a new word with a different meaning. For example:


word
prefix
new word
happy
un-
unhappy
cultural
multi-
multicultural
work
over-
overwork
space
cyber-
cyberspace
market
super-
supermarket

Suffix
Suffix เป็นส่วนของคำที่เติม เพื่อให้รากศัพท์มีความหมายชัดเจนขึ้น
เช่น"ful" แปลว่า เต็มไปด้วย เพราะฉนั้น careful จึงแปลว่า เต็มไปด้วย
เช่น careful beautiful useful meaningful ดังนั้นคำที่ลงท้ายด้วย "_ful" บอกเราว่าเต็มไปด้วย เช่น คำที่ mesningful คือ คำที่มากด้วยความหมาย
คำที่ลงท้ายด้วย suffix ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนชนิดของตัว (part of speech)

เช่น คำนาม , คำคุณศัพท์ , คำกริยา และคำกริยาวิเศษณ์
In every word above, the suffix "-ful" gives you the idea of "much of something.
" A meaningful word "has much meaning."
1. NOUN-FORMING SUFFIXES MEANING" a person or a thing
(Suffix ที่เติมแล้วเป็นคำนามที่ หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ)
SUFFIX MEANING EXAMPLE
an, -ean, -ian person or thing that is of or belongs to ประชาชนหรือ สิ่งของของประเทศนั้น ๆ
; person skilled in or studying the subject ผู้ชำนาญในวิชาการ American historian
1.ant, -ent person or thing that does the action ผู้กระทำ servant
2.-ee person to whom the action is done ผู้รับการกระทำ trainee -
3.eer person concerned with ผู้เกี่ยวข้อง auctioneer -er, -or person or thing that does something
ผู้กระทำ dancer, screw driver -
4.ess female เพศหญิง actress -
5.ist person who believes in the ideas, principles, or teaching ผู้เชื่อในความคิด หลักการ คำสอน ; person who is skilful in.. ผู้เชี่ยวชาญ nationalistBuddhistreceptionistguitarist
6.-ster person of a certain type คนกลุ่มเดียวกัน youngster -
7.y, -ie dear/ little person or thingผู้เป็นที่รัก สิ่งของเล็ก ๆ น่ารัก daddy, auntie
2. NOUN-FORMING SUFFIXES (Suffixes ที่แสดง "คำนาม")
SUFFIX MEANING EXAMPLE
1.-acy , -cy state or quality of bankruptcy การล้มละลาย
2.-age activity courage ความกล้าหาญ
3.-al action arrival การมาถึง
4.-ance, -ence action, state or quality importance ความสำคัญ
5.-ary, -ery, -ry place where something is made, done or sold with library ห้องสมุด
6.-ate state electorate กลุ่มผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง
7.-ation, -tion, -ion action, state, condition examination การสอบ cracy, ocracy government, society democracy ประชาธิปไตย
8.-dom state of being ภาวะ freedom เสรีภาพ
9.-ful amount จำนวน handful จำนวน1 กำมือ
10.-hood state or time of being ภาวะ เป็น priesthood สมณเพศ
11.-phobia fear ความกลัว hydrophobia โรคกลัวน้ำ
12.-ic, -ics arts and sciences ศิลป ศาสตร์ physics ฟิสิกส์
13.-ide chemical compound สารเคมี cyanide ไซยาไนด์
14.-ing action การกระทำ gliding การร่อน
15.-ism idea, principles or teachings หลักการ คำสอน Buddhism พุทธศาสนา
16.-ity state, condition, quality สภาพ คุณภาพ humidity ความร้อนชื้น
17.-let, -ette small kind of เล็ก ๆ booklet หนังสือเล่มเล็ก
18.-logy, -ology principles or teaching ศาสตร์ วิชา geology ธรณีวิทยา
19.-ment result of ผลของการกระทำ management การจัดการ
20.-ness state; condition ภาวะ goodness ความดี
21.-ship state or quality of ภาวะ คุณสมบัติ leadership ภาวะผู้นำ
3.ADJECTIVE-FORMING SUFFIXES (Suffixes ที่แสดง "คำคุณศัพท์")
SUFFIX MEANING EXAMPLE


-able, -ible capable of; having; changeable
-al, -ial of; concerning; related to mental
-an, -ean, -ian of; belonging of American
-ant, -ent causing pleasant
-ate full of affectionate
-ed having surprised
-en made of wooden
-er comparative bigger
-ese belonging to; origin Japanese
-ful full of; causing careful
-ic, -ical connected with atomic
-ing causing surprising
-ish belonging to having thecharacter of Swedish, childish
-ive, -ative, -itive having the quality of explosive
-less without careless -like similar to childlike
-ly like in manner, nature orappearance; motherly
-ous, -eous, -ious causing dangerous
-some full of in all lonesome
-y full of; like that of rainy, silky
4. ADVERB-FORMING SUFFIXES (Suffixes ที่แสดง "คำกริยาวิเศษณ์")
SUFFIX MEANING EXAMPLE
-ly in a manner of (ในอากัปกริยาที่ระบุ) quickly
-ward(s) in direction of ในทิศทาง forwards
-wise in direction of ในทิศทาง c lockwise
5. VERB-FORMING SUFFIXES(suffixes ที่แสดง "คำกริยา")
SUFFIX MEANING EXAMPLE
-ate act as; cause to become ทำให้ activate
-ed simple past tense; past participle looked
-en to make something… ทำ whiten
-ify cause; make something… ทำ magnify
-ing present participle reading
-ize (-ise) to make or put something in the stated condition ทำให้ centralize

Suffixes


Suffixes are added to the end of an existing word. For example:


word
suffix
new word
child
-ish
childish
work
-er
worker
taste
-less
tasteless
idol
-ize/-ise
idolize/idolise
like
-able
likeable
Root
รากศัพท์ (Root or Stem) เป็นส่วนที่แสดงถึงความหมายพื้นฐานหรือความหมายหลัก (Basic Meaning) ของคำ เมื่อเติม Prefix หรือ Suffix เข้าไปแล้วก็จะเป็นคำขึ้นมา โดยที่ความหมายของรากศัพท์ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนความหมายไป  รากศัพท์  (roots)  เป็นส่วนที่เป็นฐานของคำและเป็นตัวหลักเพื่อสร้างคำอื่น ๆ  เพิ่มขึ้น  และรากศัพท์เป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีก  รากศัพท์อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนเลข (Numbers)  การวัด (Measurement)  การเคลื่อนไหว (Motion)  การกระทำ (Action)  ความรู้สึก (Senses)  คุณภาพ (Quality)  กฎหมาย (Law)  และสังคม (Social)  ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับจำนวนเลข  (Numbers)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
semi                             one half
mono                           one
bi                                 two
cent                              hundred
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการวัด (Measurement)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
graph / graphy             a device to write or record  
meter                           a device to measure
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Motion)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
vent                             to come
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการกระทำ (Action)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
stat / stit / sist               to stand up
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับความรู้สึก (Senses)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
voc /  vok                    voice;  to call
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับคุณภาพ (Quality)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
clar                              bright
dur                               hard; strong
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับกฎหมาย (Law)  และสังคม (Social)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
ver                               true; to prove
civ / cit                         city; government
cert                              to be sure or certain; approve
ตัวอย่างเช่น
1. contort   = con (ร่วมกัน, ด้วยกัน) เป็น prefix + tort (บิด) เป็นรากศัพท์
ดังนั้นความหมายของ contort   คือ ทำให้คด, งอ, บิด
2. torsion = tors (บิด) เป็นรากศัพท์ + ion (การ,ความ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของ torsion จึงมีความหมายว่า "การบิด"
3. irremovable = ir (ไม่) เป็น prefix + remove (เคลื่อนย้าย) เป็นรากศัพท์
+ able (สามารถ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของคำ irremovable จึงมีความหมายว่า "เคลื่อนย้ายไม่ได้"
4. circumlocution = circum (รอบๆ)เป็น  prefix + locu (พูด) เป็นรากศัพท์ + tion
(การ , ความ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของ circumlocution จึงมีความหมายว่า "การพูดจาแบบอ้อค้อม"
5. triarchy = tri (สาม)เป็น prefix + archy (การปกครอง) เป็นรากศัพท์
ดังนั้น triarchy จึงมีความหมายว่า "การปกครองโดยคน 3 คน "



แหล่งที่มา